Roots of Empathy มาบ่มเพาะความเห็นอกเห็นใจในตัวเด็กกันเถอะ!

30 พฤศจิกายน 2024

คนเราทุกคนล้วนมีความแตกต่างหลากหลาย มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ดังนั้นมันจึงไม่แปลกถ้าในบางครั้งจะเกิดความขัดแย้งจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน หรือความไม่เข้าใจกัน แต่มันจะดีกว่ามั้ย ถ้าเราสามารถเชื่อมใจกัน พยายามที่จะเข้าใจกันและกันให้มากขึ้น แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถเข้าใจใครได้ 100% เพียงแค่มากขึ้นกว่าเดิมสัก 1% มันก็มากพอที่จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายได้อย่างมีความสุขมากขึ้น และ Empathy ก็คือหนึ่งในคำตอบที่จะช่วยให้เราสามารถเชื่อมใจของเราให้ใกล้ชิดกับคนอื่นได้มากยิ่งขึ้น

 

จากการพูดคุยเรื่อง Empathy กับ ครูเปี๊ยก - วิสิทธิ์ ตออำนวย เจ้าของเพจ ก่อการใจ สร้างเราให้ใกล้กัน ด้วย Empathetic Mindset ทำให้เกิดเป็น "4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการบ่มเพาะ Empathy" ดังนี้

 

4 ขั้นตอนในการบ่มเพาะ Empathy

 

Roots of Empathy

 

1. ขั้นตอนแรก คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัย

  • บทความ 10 วิธีทำให้ครอบครัว-โรงเรียน-ชุมชน กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเด็ก ที่นี่เลย

เพราะหากเด็กไม่ได้รู้สึกถึงความปลอดภัย มันก็คงจะยากที่เด็กจะเปิดใจ กล้าลอง กล้าทำเพื่อผู้อื่น ดังนั้นการที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้พวกเขานั้นจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เหมือนกับการปลูกพืช ถ้าไม่มีดิน พืชก็คงจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้

 

2. ขั้นตอนที่สอง คือ การปลูกฝังกรอบความคิด (Mindset) เพื่อให้เด็กรับรู้ถึงความแตกต่าง และคิดหาหนทางในการอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความแตกต่างเหล่านั้น ผ่านการใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Empathy ในขั้นตอนนี้ "ประสบการณ์" ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะประสบการณ์จะช่วยเปิดโลกให้เราเข้าใจถึงความแตกต่าง และความมีเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล แต่เพราะเด็กๆ ยังไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก ดังนั้นการปลูกฝังกรอบแนวคิดเรื่องของความแตกต่าง ผ่านกิจกรรม การยกตัวอย่าง หรือสื่อ ก็จะช่วยให้โลกของเด็กๆ เปิดกว้างได้มากขึ้น เหมือนกับการใส่ปุ๋ยลงไปในดิน เพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น

 

3. ขั้นตอนที่สาม คือ การเชื่อมใจ เพื่อให้เด็กมองเห็นคนรอบตัวมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้ลองสังเกตคนที่อยู่รอบตัวให้มากขึ้น พวกเขาก็จะเริ่มเข้าใจคนเหล่านั้น จากการเชื่อมโยงและเทียบเคียงความคล้ายคลึงของประสบการณ์ของตัวพวกเขาเอง

  • เช่น ในระหว่างที่เรากำลังต่อแถวรับอาหารกลางวัน เรารู้สึกหงุดหงิดที่เพื่อนข้างหน้าเราเดินช้า แต่พอเราได้ลองสังเกตดูเราก็พบว่า เพื่อนคนนั้นเจ็บขาอยู่จึงเดินช้า ความหงุดหงิดของเราก็จะเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ และอาจส่งผลไปถึงพฤติกรรม โดยเราอาจจะเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนเวลาเดิน หรืออาจจะอาสาเป็นคนนำอาหารกลางวันไปให้ เพื่อที่เพื่อนจะได้ไม่ต้องเดิน

ในขั้นตอนการเชื่อมใจนี้จึงเหมือนกับ การลองสวมรองเท้าของคนอื่น ลองพยายามเข้าใจคนอื่น เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่เขา แต่เราก็สามารถเคารพในตัวตนของเขาได้

 

4. ขั้นตอนที่สี่ คือ การเพิ่มพูนทักษะ เพราะ Empathy คือการเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเราจะสามารถเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ก็ต่อเมื่อเราได้ลองพยายามทำความรู้จักคนอื่น และทักษะที่สำคัญอย่างนึงในการที่เราจะทำความรู้จักคนอื่นให้มากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ ทักษะการฟัง

  • บทความ ทักษะการฟัง ทักษะที่ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งได้ยินมากขึ้นเท่านั้น ที่นี่เลย

ทักษะการฟัง เป็นทักษะที่หากเราฝึกฝนจนชำนาญ มันจะช่วยให้เราสามารถรู้จักกับอีกฝ่าย สัมผัสอารมณ์ ความต้องการ และมุมมองต่อเรื่องต่างๆ ของผู้พูดได้มากขึ้น การเพิ่มพูนทักษะจะช่วยให้เราสามารถนำ Empathy มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้างได้

 

การสร้างพื้นที่ปลอดภัย (การเตรียมดิน), การปลูกฝังกรอบความคิด (การใส่ปุ๋ย), การเชื่อมใจ (การรดน้ำ) และการเพิ่มพูนทักษะ (การพรวนดิน) ทั้ง 4 ขั้นตอนนี้คือวิธีการสำคัญที่จะช่วยบ่มเพาะให้ต้นไม้ที่ชื่อ Empathy สามารถเติบโตในตัวของเด็กได้ โดยต้นไม้ที่ชื่อว่า Empathy นี้ เราสามารถช่วยกันปลูกได้ตั้งแต่ช่วงที่เด็กๆ อยู่ในวัยอนุบาล สอดแทรกผ่านกิจกรรมง่ายๆ เช่น การฟังนิทานกับครอบครัว และเมื่อเด็กเติบโตสู่ชั้นประถมจึงค่อยบ่มเพาะให้เด็กได้รู้จักคำว่า “Empathy” ผ่าน 4 ขั้นตอนง่ายๆ ข้างต้น

 

และเมื่อเราได้ปลูกต้นไม้ที่ชื่อว่า Empathy แล้ว แน่นอนว่าการเจริญเติบโตของมันอาจจะไม่ได้เห็นเด่นชัดในทันที แต่เชื่อเถอะว่าความงอกงามนั้น มันจะค่อยๆ แสดงออกมาผ่านเรื่องเล็กๆ ที่เราอาจจะไม่ทันได้สังเกตเห็น เช่น เมื่อเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้น เด็กจะไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เด็กจะคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบตัวจากการกระทำของเขามากขึ้น เด็กจะโดดเวรทำความสะอาดน้อยลง และเลือกที่จะเข้าไปห้ามเมื่อเกิดการกลั้นแกล้งกันในโรงเรียน

 

สุดท้ายนี้ อยากจะขอฝากสิ่งสำคัญไว้ว่า "เมื่อเรามี Empathy ให้กับคนอื่นแล้ว เราก็ต้องอย่าลืมมี Empathy ให้กับตัวเองด้วย" ในบางครั้งหากเราพยายามใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายแล้ว แต่เราไม่ไหว จำไว้ว่า การถามอีกฝ่ายตรงๆ หรือการถอยออกมาก่อนจะเกิดความขัดแย้ง ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกนึงเหมือนกัน ขอให้บทความนี้ช่วยเป็นหนึ่งในกำลังใจให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายได้อย่างมีความสุข