บทความแนะนำของ Famskool
Famskool จากโรงเรียนสู่ครอบครัวเชิงบวก
“เพราะตระหนักว่าการเรียนรู้ไม่ได้เกิดขึนในโรงเรียนเท่านัน แต่ครอบครัว  มีส่วนสาคัญในการช่วยให้เด็กค้นพบศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง” หนังสือ Famskool จากโรงเรียนสู่ครอบครัวเชิงบวก เป็นหนังสือประมวลประสบการณ์จากโครงการ FamSkool (FamSkool Positive Family Engagement Project) อัดแน่นกว่า 20 เรื่องราวบันดาลใจ จากคุณครูที่เข้าร่วมโครงการ เริ่มจาก   1. การปรับมุมมอง 2. การเปลี่ยนวิธีการสื่อสาร 3. การปลูกกิจกรรม บนพื้นฐานของแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวก   ในหนังสือเล่มนี้จะนำเสนอให้ผู้อ่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาเชิงบวก ที่สามารถนำไปปรับใช้ในห้องเรียนได้มากขึ้นเช่นกันด้วย ดาวโหลดได้เลยที่นี่ Book-FamSkoolDownload   “เมื่อครูมีมุมมองเชิงบวกต่อเด็ก เชื่อว่าเด็กทุกคนมีคุณค่าบางอย่างในตัวเอง เป็นผู้ชี้แนะให้เด็กเห็นคุณค่าในตนเอง ชี้ให้เด็กเห็นทางเลือกที่ดีหลากหลายทาง ให้เด็กได้เลือกทำด้วยตนเอง บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการเรียนรู้ทั้งสำหรับครูและนักเรียน” ส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์คุณครูในหนังสือ Famskool จากโรงเรียนสู่ครอบครัวเชิงบวก
บันทึกการเดินทางของโครงการ FamSkool 2020-21 ภาคเหนือ Module 1
FamSkool เป็นโครงการที่มีแนวคิดมาจากการที่คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเด็กรู้จักเด็กไม่รอบด้าน เนื่องจากไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ดังนั้นการที่จะทำความรู้จักเด็กเพื่อเข้าใจให้รอบด้านมากขึ้น และสนับสนุนพวกเขาให้ก้าวผ่านช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาไปได้อย่างราบรื่นที่สุดนี้ก็จำเป็นที่ต้องอาศัยข้อมูลจากในมุมที่เด็กอยู่ที่โรงเรียนจากคุณครูด้วยเช่นกัน    โครงการนี้จึงเป็นพื้นที่เรียนรู้สำหรับการทำงานร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน ครอบครัว และตัวเด็ก โดยหลักของ 3 ป. คือ ปรับมุมมอง ทั้งคุณครู ครอบครัว และตัวเด็กว่าการทำงานร่วมกันนี้เป็นไปในเชิงบวก และเชิงรุกได้ โดยการใช้ strengths มาเป็นมุมมองสำหรับมองกันและกัน เปลี่ยนวิธีการสื่อสาร อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการสื่อสารของแต่ละช่วงวัย ต่างก็มีชุดคำที่ใช้แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการสื่อสารกันแบบ I-You message หรือการตอบสนองต่อพฤติกรรมหรืออารมณ์ในเชิงบวก (ACR) เปลี่ยนกิจกรรม โดยนำจิตวิทยาเชิงบวก เช่น Character Strengths มาเป็นฐานในการใช้คิดกิจกรรม    โดยเมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ 18-19 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมคุ้มภูคำ จังหวัดเชียงใหม่ ได้เริ่มการจัด FamSkool 2020-21 ครั้งแรก สำหรับ Module 1 นี้ ซึ่งมี 4 โรงเรียนแกนนำจากภาคเหนือเข้าร่วม ประกอบด้วย  - โรงเรียนเชียงของวิทยาคม (เชียงราย)  - โรงเรียนสันป่าตองวิทยาคม (เชียงใหม่)  - วิทยาลัยเทคโนโลยีและสหวิทยาการ มทร.ล้านนา (เชียงใหม่) - และโรงเรียนบ้านแม่ระเมิง (ตาก) เข้าร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน   FamSkool Module 1 นี้ได้มีการทำงานเรื่องของการปรับมุมมองสู่มุมมองบนพื้นฐานจิตวิทยาเชิงบวก และทดลองเริ่มต้นออกแบบกิจกรรมโดยใช้ Character Strengths ร่วมกับ Positive Family Engagement CANVAS (PFE CANVAS)   โดยกระบวนการได้เริ่มต้นจากชวนให้ครูทบทวนความคาดหวัง เป้าหมายในการเข้าร่วม หลังจากการทบทวนเป้าหมายโครงการร่วมกันเรียบร้อยแล้ว จึงมีการแลกเปลี่ยนมุมมอง โดยคุณครูก็ได้เขียนถึงความคาดหวังและสาเหตุของความคาดหวังที่พาให้มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้      หลังจากนั้นก็เป็นกิจกรรมที่จะพาคุณครูได้สะท้อนคิดกับตัวเอง นึกย้อนถึงเส้นทางชีวิตกว่าจะมาเป็นครูในวันนี้ จากนั้นก็เข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มย่อยที่มีคุณครูจากต่างโรงเรียน และสุดท้ายก็นำมาสะท้อนกันผ่านกลุ่มใหญ่ด้วยโจทย์ที่ว่า “สิ่งที่ส่งผลต่อสิ่งที่เราเป็น หรือสิ่งที่เราทำในทุกวันนี้มากที่สุด คืออะไร” ซึ่งก็ได้เปิดโอกาสให้คุณครูได้แชร์เรื่องราวให้เพื่อนครูด้วยกันฟังด้วย     นอกจากประสบการณ์ที่คุณครูได้ร่วมแชร์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นคำตอบให้กับโจทย์นี้ได้ก็คือ ชุดความคิด (Mindset) โดยในแต่ละคนใช้เป็นกรอบที่จะนำไปมองประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามา ซึ่งถือว่าเป็น step แรกที่จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไรต่อไป โดยชุดความคิดนี้จะถูกแบ่งแบบกว้าง ๆ ได้ 2 ประเภท ก็คือ ชุดความคิดแบบตีบตัน (Fixed Mindset) เป็นการมองว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ยาก หรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแล้ว และชุดความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เป็นการมองว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้   โดยเริ่มจากการสังเกตหลุมพรางความคิด เช่น ชอบคิดว่าคนอื่นจะคิดยังไงนะ, คิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวเอง, คิดว่าผลที่ฉันได้รับเป็นสาเหตุมาจากคนอื่นแน่ ๆ, คิดซ้ำ ๆ ในเรื่องเดิม ๆ วนไป, และภาวะสิ้นหวัง (helplessness) ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าความคิดนั้นเป็น step แรก ที่ส่งผลต่อการกระทำ ดังประโยคที่เรามักจะได้ยินกันอย่างคุ้นหูที่ว่า “ความคิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน” ดังนั้นแล้วเราก็จะพาคุณครูไปทำความรู้จักจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) ที่เป็นการมองโลกความเป็นจริงอย่างมีความหวัง ที่เป็นกระบวนการป้องกันมากกว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น   โดยหลักสำคัญของจิตวิทยาเชิงบวก คือ PERMA  P = Positive Emotions คืออารมณ์เชิงบวก 10 อารมณ์E = Engagement คือสภาวะที่รู้สึกว่ามีส่วนร่วมกับสิ่งที่ทำอยู่R = Positive Relationship คือความสัมพันธ์เชิงบวกM = Meaning คือคุณค่าในชีวิต สำหรับวัยรุ่นนั้นอาจจะเป็นการมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง (Optimistic)A = Accomplishment คือความสำเร็จ ซึ่งในวัยรุ่นอาจจะยังเห็นภาพไม่ชัดนัก จึงให้ความดูที่ความพยายามเพื่อไปสู่เป้าหมายระยะยาวของเขาแทน (Grit)   หลังจากทำความรู้จักในเรื่องของชุดความคิด หลุมพรางความคิด และจิตวิทยาเชิงบวกแล้ว คุณครูก็ได้ลองใช้สิ่งที่เรียนผ่านการทำกิจกรรม Positive Family Engagement      ในช่วงบ่ายนี้เริ่มด้วยการทำความรู้จัก 24 จุดแข็งเชิงบวก (Character Strengths) ว่าแต่ละจุดแข็งมีความหมายว่าอย่างไร คนรอบตัวของคนที่มีจุดแข็งเชิงบวกนั้น ๆ จะมีความคิดเห็นหรือความรู้สึกยังไงต่อเขาบ้างนะ และจุดแข็งเชิงบวกเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เมื่อคุณครูได้ทำความรู้จักกับจุดแข็งเชิงบวกนี้แล้ว คุณครูเองก็จะได้ลองดูจุดแข็งในตัวเอง และได้รู้จากอีกมุมมองหนึ่งของเพื่อนครูด้วยกัน นอกเหนือจากนี้ยังได้มีกิจกรรมที่พาให้คุณครูได้ลองนำจุดแข็งเชิงบวกมาปรับใช้กับกิจกรรมเดิมที่เคยทำ หรือสร้างกิจกรรมใหม่เพื่อผลลัพธ์ที่มากกว่าสำหรับการสร้างความร่วมมือกับครอบครัว หรือการนำไปใช้ในการทำความเข้าใจ และมองมุมต่าง ๆ ของเด็กได้รอบด้านและเป็นไปในทางเชิงบวกมากขึ้น หลังจากการเดินทางตลอดทั้งวันมานี้ก็ปิดท้ายวันแรกด้วยการเข้าร่วมชมภาพยนตร์ “The little star on earth” ภาพยนตร์อินเดียที่พาเราไปสำรวจการเติบโตของเด็กผ่านการเรียนรู้ในหลากหลายรูปแบบแฝงไปด้วยแง่คิดที่น่าสนใจไปพร้อม ๆ กัน     FamSkool 2020-21 ภาคเหนือ Module 1 ได้เดินทางมาสู่วันที่สอง ในช่วงเช้าหลังเริ่มต้นด้วยการสะท้อนคิดจากภาพยนตร์ที่ได้ชมไปเมื่อคืนโดยอิงจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปจากเมื่อวาน ซึ่งคุณครูในแต่ละกลุ่มนั้นก็หยิบยกทั้งเรื่องของชุดความคิด และจิตวิทยาเชิงบวกในเรื่องต่าง ๆ มาอธิบายได้อย่างครอบคลุมเนื้อหาของภาพยนตร์เลยทีเดียว หลังจากนั้นการเดินทางก็เข้มข้นมากขึ้นเพราะเป็นวันที่คุณครูในโรงเรียนเดียวกันจะร่วมด้วยช่วยกันระดมความคิดในการออกแบบการทำงานเพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างครอบครัวและโรงเรียนบนพื้นฐานจิตวิทยาเชิงบวก ผ่าน Positive Family Engagement CANVAS (PFE CANVAS) ที่ทาง Life Education (T้hailand) ได้พัฒนาร่วมกับ Outermost เพื่อเป็นตัวช่วยในการเรียบเรียงชุดความคิดในการทำงานร่วมกับครอบครัวบนฐานจิตวิทยาเชิงบวก และการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง (powerful story telling) อันจะสามารถนำไปสู่การสร้างความร่วมมือระหว่างครู ครอบครัว และส่วนนโยบายของโรงเรียนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้     การเดินทางสำหรับ Module 1 สิ้นสุดด้วยการที่คุณครูได้เริ่มมีแผนงานของตัวเองใน CANVAS ที่จะนำไปทำต่อให้เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้คุณครูแต่ละท่านยังได้ฝากข้อความถึงความประทับใจ และสิ่งที่อยากให้ซัพพอร์ตหรือสิ่งที่คุณครูอยากรู้เพิ่มเติมกับพวกเราไว้ด้วย ซึ่งเราได้รวบรวมข้อมูล และเตรียมความพร้อมของกิจกรรมให้สอดคล้องกับความคาดหวังของคุณครูให้ได้มากที่สุดสำหรับครั้งถัดไป แล้วพบกันใน FamSkool 2020-21 ภาคเหนือ Module 2 และสำหรับโรงเรียนที่สมัครใน 3 ภาคที่เหลือเตรียมอดใจรออีกนิดไม่เกิน สิงหาคมนี้เราจะมาร่วมสร้างการเดินทางบทใหม่ในการทำงานร่วมกับครอบครัวไปด้วยกันครับ    “เพราะความเป็นครอบครัว…ไม่ได้หยุดแค่ที่รั้วโรงเรียน”     เขียนโดย: อรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ (สมิต) _ Life Education (Thailand) ร่วมด้วย ชนันญา น้อยสันเทียะ ภาพประกอบโดย: นางสาวดลพร นิธิพิทยปกฤต
บทความทั้งหมดของเรา
เลือกจาก :
ถอดบทเรียน กิจกรรมสานสัมพันธ์ โดยคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ (Part 2/2)
หลังจากกิจกรรมสานสัมพันธ์ คุณครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง เสร็จสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่า คุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ ได้เรียนรู้สิ่งใดกลับมากันบ้าง และก้าวต่อไปของพวกเขาจะเป็นอย่างไร มาติดตามกันเลย   กว่าจะได้มาเป็นทีมแกนนำคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์     แน่นอนว่าช่วงแรก ทีมคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ ก็ได้ประสบกับความยากลำบากในการสร้างทีมเช่นเดียวกัน แล้วพวกเขาจัดการกับเหตุการณ์นี้กันอย่างไรบ้างล่ะ? เริ่มจากการสร้างบรรยากาศที่ดีภายในทีม ในทุกครั้งที่มาประชุมงานกัน จะต้องมีกิจกรรมละลายพฤติกรรม อาจมีเพลง และขนม ของกินเล่น เพื่อให้ในระหว่างการพูดคุยเกิดความผ่อนคลาย ไม่เครียดหรือกดดันจนเกินไป ชวนคุณครูท่านอื่นๆ มาร่วมเป็นแกนนำโดยการให้เขาได้ลองเล่นกิจกรรม และสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง เพื่อให้เขาได้เข้าใจกระบวนการคิด การปฏิบัติ เสริมแนวคิดให้คนในทีม ในเรื่องของการค้นหาวิธีการ ไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา สร้างค่านิยมว่า ความผิดพลาด ความไม่สมบูรณ์ในการทำงาน เป็นเรื่องปกติ เพื่อไม่ให้คนในทีมรู้สึกกดดันตัวเองมากเกินไป จนทำให้รู้สึกว่าการทำงานนี้ไม่สนุก   หลังจัดกิจกรรม คุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ได้เรียนรู้สิ่งใดกลับมากันบ้าง     หลังจากที่กิจกรรมสานสัมพันธ์ คุณครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง ได้จบลงแล้ว เราจึงได้ชวนคุณครูมาทำกิจกรรม I Like / I Learn เพื่อทบทวนสิ่งที่ชอบและได้เรียนรู้จากกิจกรรมนี้กัน จากกิจกรรมจัดดอกไม้แบบโคริงกะ เป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างสมาธิได้ ไม่ต่างจากการนั่งสมาธิ อีกทั้งการทำกิจกรรมร่วมกันยังช่วยให้ผู้ปกครองได้เห็นลูกในอีกด้านนึง ที่พวกเขาอาจจะไม่เคยเห็น เกิดเป็นความรู้สึก ใจฟู ภูมิใจในตัวลูก จากกิจกรรมร้องเพลงประสานเสียง พบว่า เป็นกิจกรรมที่ช่วยละลายพฤติกรรม ได้ปลดปล่อยพลังงานอย่างเต็มที่ ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการแสดงออก สร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศที่ Relax จากกิจกรรมน้ำใส-น้ำขุ่น พบว่า เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เห็นมุมมองของเด็กๆ มากยิ่งขึ้น เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงตัวตนของพวกเขาออกมา การบอกจุดแข็งของกันและกัน รวมไปถึงการได้ลองปรับเปลี่ยรวิธีการพูด ให้ฟังดูชื่นใจมากยิ่งขึ้น จากการรับ Feedback ตอนท้าย ผู้ปกครองหลายท่านยังรู้สึกไม่คุ้นชินกับการมาทำกิจกรรมร่วมกับลูกที่โรงเรียนทั้งวัน เพราะอย่างการประชุมผู้ปกครองตามปกติก็มักจะใช้เวลาเพียงครึ่งวัน จากกิจกรรมการ์ดเชื่อมใจ เพื่อเปิดใจเด็ก-ผู้ปกครอง พบว่า เด็กหลายคนรู้สึกขอบคุณผู้ปกครองที่ยอมเสียสละเวลาหนึ่งวันมาร่วมกิจกรรมกับพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุข รู้สึกได้รับความสำคัญ และความใส่ใจ   Next Step ของคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์     แล้วก้าวต่อไปของคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ จะเป็นอย่างไรกันนะ พวกเขาจะนำกิจกรรมสานสัมพันธ์ คุณครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง ไปต่อยอดแบบไหนได้บ้าง มาติดตามดูกันเลยค่ะ นำความรู้ด้าน 10 อารมณ์เชิงบวก มาปรับใช้ในห้องเรียน เพื่อให้เด็กและคุณครูได้เริ่มต้นวัน ด้วยการสำรวจอารมณ์ของตัวเอง ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร จากนั้นจึงนำเข้าสู่กิจกรรมเพื่อปรับอารมณ์เด็กๆ ให้พร้อมที่จะเรียน คุณครูพร้อมที่จะสอน จัดกิจกรรมห้องเรียนพลังบวก เพื่อให้ห้องเรียนทุกห้องของโรงเรียนบรรจงรัตน์ เป็นห้องเรียนที่ทั้งเด็กและคุณครู สื่อสารกันด้วยคำพูดเชิงบวก ไม่ตำหนิ ดุด่า หรือลงโทษด้วยวิธีการเชิงลบ สร้างระบบคัดกรอง ดูแล ช่วยเหลือเด็ก เพื่อประเมินว่าเด็กคนไหนบ้างที่ต้องการความใส่ใจ ความอบอุ่น หรือต้องการความช่วยเหลือบางประการมากเป็นพิเศษ (เช่น เด็กที่ถูก Bully ไม่สามารถเข้าสังคมได้) โดยจะส่งต่อข้อมูลให้คุณครูประจำชั้น และนักจิตวิทยา หากจำเป็น ดำเนินการนำกิจกรรมสานสัมพันธ์ คุณครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง พัฒนาไปเป็นนวัตกรรม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงทางด้านความสัมพันธ์ให้กับครอบครัวและเด็ก โดยเปิดรับสมัครครอบครัวมาเข้าร่วมกิจกรรม   และนี่คือบทเรียนที่ได้จากการจัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ คุณครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง โดยคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ ทาง FamSkool ขอเป็นกำลังใจให้กิจกรรมในครั้งนี้ช่วยจุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ให้กับคุณครู โรงเรียนอื่นๆ เพื่อให้ทุกความสัมพันธ์จับต้องได้
6 ก.ค. 2568
115
มาเรียนรู้ไอเดียสร้างสรรค์ กิจกรรมสานสัมพันธ์ โดยคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ (Part 1/2)
คุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ เริ่มต้นจากการอยากที่จะจัด “กิจกรรม” สำหรับนักเรียน และผู้ปกครองทุกสายชั้น FamSkool อยากขอเชิญชวนทุกท่านให้มาร่วมเดินทางไปกับพวกเขา ย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้น เพื่อเรียนรู้ว่าพวกเขามีแนวคิด และวิธีการอย่างไร   การเดินทาง ในการสร้างสรรค์ กิจกรรมสานสัมพันธ์ คุณครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง       จุดเริ่มต้น   คุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ เริ่มต้นจุดประกายไอเดียสร้างสรรค์หลังจากสังเกตเห็นว่าเด็กนักเรียนเริ่มมีการบูลลี่กันภายในโรงเรียน โดยเฉพาะนักเรียนชั้น ป.6 ที่ถือว่าเป็นพี่ใหญ่สุดในระดับชั้นประถม คุณครูจึงเกิดความกังวลว่าเมื่อเด็กเข้าสู่ระดับชั้น ม.1 เด็กจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมของวัยมัธยมได้ คุณครูจึงเริ่มจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาจิตใจให้กับเด็กๆ โดยเป็นกิจกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมที่วัด 3 วัน 2 คืน ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีประมาณนึง ต่อมาคุณครูจึงอยากจะพัฒนากิจกรรมให้มีความทันสมัย และน่าสนใจ เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็กๆ มากขึ้น   ได้รู้จักกับ FamSkool   ถือเป็นโชคชะตาที่นำพาให้ คุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ ได้เห็นโพสโปรโมทกิจกรรมของ FamSkool แล้วรู้สึกสนใจ จึงได้สมัครเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วยกัน ทำให้ได้รู้จักกับแนวคิดในเรื่องของ จิตวิทยาเชิงบวก PERMA รวมไปถึงการได้ที่ปรึกษาในการจัดกิจกรรม และได้ติดอาวุธ เครื่องมือต่างๆ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ให้แข็งแรง เช่น การ์ดเชื่อมใจ   วางวัตถุประสงค์   หลังจากที่ได้ติดอาวุธกับ FamSkool เรียบร้อยแล้ว คุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ ก็ได้เริ่มวางแผน และนำเสนอไอเดียการจัดกิจกรรมให้กับผู้ปกครอง รวมไปถึงคุณครูท่านอื่นๆ ในโรงเรียน ระบุกลุ่มเป้าหมาย และวัตถุประสงค์หลัก ว่าต้องการจัดกิจกรรมเพื่อให้ “ผู้ปกครองได้ฟังเสียงของเด็ก”   ออกแบบกิจกรรม   จากวัตถุประสงค์หลักที่ได้ตั้งไว้ คุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ จึงออกแบบกิจกรรมเป็น 3 ฐาน คือ ฐานใจ ที่จะชวนเด็กและผู้ปกครอง จัดดอกไม้แบบ “โคริงกะ” เพื่อช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน มีสมาธิ รู้จักกันการชื่นชมความสวยงาม และมองเห็นถึงความหลากหลายในแต่ละตัวตน เปรียบเสมือนดอกไม้ ที่มีทั้งด้านที่สวยงามชวนมอง ด้านที่อาจจะไม่อยากให้ใครเห็น แต่ทั้งหมดก็คือความสวยงาม เป็นการยอมรับตัวตนที่แตกต่างกันออกไป ฐานกาย ที่จะชวนเด็กและผู้ปกครอง ละลายพฤติกรรม ผ่านการเคลื่อนไหว การร้องเพลงประสานเสียง เพื่อช่วยให้เกิดความสามัคคี และการรับฟังคนรอบข้าง เพราะการร้องเพลงประสานเสียงจะต้องฟังกันและกันในขณะที่ร้องจึงจะเกิดความไพเราะ ฐานคิด ที่จะชวนเด็กและผู้ปกครอง เปิดใจ และเข้าใจกันและกันมากขึ้น ผ่านกิจกรรมการใช้คำพูดให้ผู้ฟังรู้สึกชื่นใจ (น้ำใส-น้ำขุ่น) เพื่อช่วยให้เกิดการรับรู้ความรู้สึกของกันและกัน ผลกระทบของการใช้คำพูด รวมไปถึงได้รับรู้มุมมองของเด็กๆ ที่มีต่อการกระทำต่างๆ ของเรา   รับ Feedback   เมื่อกิจกรรมได้ดำเนินไปจนถึงช่วงท้าย คุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ ก็ได้จัด Session สำหรับให้เด็กๆ และผู้ปกครองได้พูดคุยกัน ผ่านกิจกรรมการ์ดเชื่อมใจ  และจึงไปสอบถามความรู้สึกของผู้ปกครองที่มีต่อการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งผู้ปกครองส่วนใหญ่มองว่า  เขารู้สึกดีที่ได้มาทำกิจกรรมในวันนี้ร่วมกับบุตรหลานของเขา  วันนี้เขาได้เห็นแล้วว่าโรงเรียนได้ทำสิ่งใดให้กับเด็กๆ บ้าง เขารู้สึกภูมิใจในตัวเด็ก ที่ได้เห็นว่าเด็กๆ กล้าแสดงออกมากขึ้น กล้านำเสนอความเป็นตัวเอง ทำให้เขาได้เห็นถึงมุมมองของเด็กๆ และจุดแข็งของเด็กๆ บางอย่างที่เขาอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน   ซึ่งตัวของคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ และ FamSkool ก็รู้สึกภูมิใจมากๆ เช่นเดียวกันที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนากิจกรรมสานสัมพันธ์ คุณครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง ให้เกิดขึ้นได้ และนี่คือก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ของคุณครู โรงเรียนบรรจงรัตน์ และ FamSkool หวังว่าการเดินทางในการสร้างสรรค์ กิจกรรมสานสัมพันธ์ คุณครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง ครั้งนี้จะช่วยจุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ให้กับคุณครู โรงเรียนอื่นๆ เพื่อให้ทุกความสัมพันธ์จับต้องได้
19 ก.พ. 2568
114
Roots of Empathy มาบ่มเพาะความเห็นอกเห็นใจในตัวเด็กกันเถอะ!
คนเราทุกคนล้วนมีความแตกต่างหลากหลาย มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ดังนั้นมันจึงไม่แปลกถ้าในบางครั้งจะเกิดความขัดแย้งจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน หรือความไม่เข้าใจกัน แต่มันจะดีกว่ามั้ย ถ้าเราสามารถเชื่อมใจกัน พยายามที่จะเข้าใจกันและกันให้มากขึ้น แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถเข้าใจใครได้ 100% เพียงแค่มากขึ้นกว่าเดิมสัก 1% มันก็มากพอที่จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายได้อย่างมีความสุขมากขึ้น และ Empathy ก็คือหนึ่งในคำตอบที่จะช่วยให้เราสามารถเชื่อมใจของเราให้ใกล้ชิดกับคนอื่นได้มากยิ่งขึ้น   จากการพูดคุยเรื่อง Empathy กับ ครูเปี๊ยก - วิสิทธิ์ ตออำนวย เจ้าของเพจ ก่อการใจ สร้างเราให้ใกล้กัน ด้วย Empathetic Mindset ทำให้เกิดเป็น "4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการบ่มเพาะ Empathy" ดังนี้   4 ขั้นตอนในการบ่มเพาะ Empathy     1. ขั้นตอนแรก คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัย บทความ 10 วิธีทำให้ครอบครัว-โรงเรียน-ชุมชน กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเด็ก ที่นี่เลย เพราะหากเด็กไม่ได้รู้สึกถึงความปลอดภัย มันก็คงจะยากที่เด็กจะเปิดใจ กล้าลอง กล้าทำเพื่อผู้อื่น ดังนั้นการที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้พวกเขานั้นจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เหมือนกับการปลูกพืช ถ้าไม่มีดิน พืชก็คงจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้   2. ขั้นตอนที่สอง คือ การปลูกฝังกรอบความคิด (Mindset) เพื่อให้เด็กรับรู้ถึงความแตกต่าง และคิดหาหนทางในการอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความแตกต่างเหล่านั้น ผ่านการใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Empathy ในขั้นตอนนี้ "ประสบการณ์" ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะประสบการณ์จะช่วยเปิดโลกให้เราเข้าใจถึงความแตกต่าง และความมีเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล แต่เพราะเด็กๆ ยังไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก ดังนั้นการปลูกฝังกรอบแนวคิดเรื่องของความแตกต่าง ผ่านกิจกรรม การยกตัวอย่าง หรือสื่อ ก็จะช่วยให้โลกของเด็กๆ เปิดกว้างได้มากขึ้น เหมือนกับการใส่ปุ๋ยลงไปในดิน เพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น   3. ขั้นตอนที่สาม คือ การเชื่อมใจ เพื่อให้เด็กมองเห็นคนรอบตัวมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้ลองสังเกตคนที่อยู่รอบตัวให้มากขึ้น พวกเขาก็จะเริ่มเข้าใจคนเหล่านั้น จากการเชื่อมโยงและเทียบเคียงความคล้ายคลึงของประสบการณ์ของตัวพวกเขาเอง เช่น ในระหว่างที่เรากำลังต่อแถวรับอาหารกลางวัน เรารู้สึกหงุดหงิดที่เพื่อนข้างหน้าเราเดินช้า แต่พอเราได้ลองสังเกตดูเราก็พบว่า เพื่อนคนนั้นเจ็บขาอยู่จึงเดินช้า ความหงุดหงิดของเราก็จะเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ และอาจส่งผลไปถึงพฤติกรรม โดยเราอาจจะเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนเวลาเดิน หรืออาจจะอาสาเป็นคนนำอาหารกลางวันไปให้ เพื่อที่เพื่อนจะได้ไม่ต้องเดิน ในขั้นตอนการเชื่อมใจนี้จึงเหมือนกับ การลองสวมรองเท้าของคนอื่น ลองพยายามเข้าใจคนอื่น เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่เขา แต่เราก็สามารถเคารพในตัวตนของเขาได้   4. ขั้นตอนที่สี่ คือ การเพิ่มพูนทักษะ เพราะ Empathy คือการเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเราจะสามารถเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ก็ต่อเมื่อเราได้ลองพยายามทำความรู้จักคนอื่น และทักษะที่สำคัญอย่างนึงในการที่เราจะทำความรู้จักคนอื่นให้มากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ ทักษะการฟัง บทความ ทักษะการฟัง ทักษะที่ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งได้ยินมากขึ้นเท่านั้น ที่นี่เลย ทักษะการฟัง เป็นทักษะที่หากเราฝึกฝนจนชำนาญ มันจะช่วยให้เราสามารถรู้จักกับอีกฝ่าย สัมผัสอารมณ์ ความต้องการ และมุมมองต่อเรื่องต่างๆ ของผู้พูดได้มากขึ้น การเพิ่มพูนทักษะจะช่วยให้เราสามารถนำ Empathy มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้างได้   การสร้างพื้นที่ปลอดภัย (การเตรียมดิน), การปลูกฝังกรอบความคิด (การใส่ปุ๋ย), การเชื่อมใจ (การรดน้ำ) และการเพิ่มพูนทักษะ (การพรวนดิน) ทั้ง 4 ขั้นตอนนี้คือวิธีการสำคัญที่จะช่วยบ่มเพาะให้ต้นไม้ที่ชื่อ Empathy สามารถเติบโตในตัวของเด็กได้ โดยต้นไม้ที่ชื่อว่า Empathy นี้ เราสามารถช่วยกันปลูกได้ตั้งแต่ช่วงที่เด็กๆ อยู่ในวัยอนุบาล สอดแทรกผ่านกิจกรรมง่ายๆ เช่น การฟังนิทานกับครอบครัว และเมื่อเด็กเติบโตสู่ชั้นประถมจึงค่อยบ่มเพาะให้เด็กได้รู้จักคำว่า “Empathy” ผ่าน 4 ขั้นตอนง่ายๆ ข้างต้น   และเมื่อเราได้ปลูกต้นไม้ที่ชื่อว่า Empathy แล้ว แน่นอนว่าการเจริญเติบโตของมันอาจจะไม่ได้เห็นเด่นชัดในทันที แต่เชื่อเถอะว่าความงอกงามนั้น มันจะค่อยๆ แสดงออกมาผ่านเรื่องเล็กๆ ที่เราอาจจะไม่ทันได้สังเกตเห็น เช่น เมื่อเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้น เด็กจะไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เด็กจะคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบตัวจากการกระทำของเขามากขึ้น เด็กจะโดดเวรทำความสะอาดน้อยลง และเลือกที่จะเข้าไปห้ามเมื่อเกิดการกลั้นแกล้งกันในโรงเรียน   สุดท้ายนี้ อยากจะขอฝากสิ่งสำคัญไว้ว่า "เมื่อเรามี Empathy ให้กับคนอื่นแล้ว เราก็ต้องอย่าลืมมี Empathy ให้กับตัวเองด้วย" ในบางครั้งหากเราพยายามใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายแล้ว แต่เราไม่ไหว จำไว้ว่า การถามอีกฝ่ายตรงๆ หรือการถอยออกมาก่อนจะเกิดความขัดแย้ง ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกนึงเหมือนกัน ขอให้บทความนี้ช่วยเป็นหนึ่งในกำลังใจให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายได้อย่างมีความสุข
30 พ.ย. 2567
110
FamSkool Talk
Webinar ที่มาชวนคุณครูแลกเปลี่ยนแนวทาง และวิธีการในการจัดห้องเรียนเชิงบวก เพื่อส่งเสริมจุดแข็งเชิงบวก (Character strengths)
FamSkool Playlist
6 วีดิโอ
มารู้จักกับแฟมสคูลมากขึ้นผ่านเรื่องราวของคุณครู ครอบครัว นักเรียน และทีมแฟมสคูล ที่ได้ร่วมมือกันสร้างความสัมพันธ์